การจัดสรรเงินลงทุน (Asset Allocation)
ทำไมต้องจัดสรรเงินลงทุน?
- เพื่อการกระจายความเสี่ยง เนื่องจากสินทรัพย์แต่ละประเภทมีความเสี่ยงต่อภาวะเศรษฐกิจแตกต่างกันไป
- เพื่อสร้างหรือรักษาอัตราผลตอบแทนในระดับที่คาดหวัง
|
ตัวอย่างผลกระทบและความเสี่ยงที่เกิดจากการลงทุน
ปัจจัยที่ต้องพิจารณาในการจัดสรรเงินลงทุน
1. วัตถุประสงค์การลงทุน |
2. ระยะเวลาในการลงทุน |
|
- โดยทั่วไปแล้วการลงทุนในระยะยาว มักให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าการลงทุนระยะสั้น
- หากส่วนงานลงทุนในระยะเวลาที่เหมาะสมกับระยะเวลาที่จะนำเงินไปใช้ จะสามารถเพิ่มผลตอบแทนในการลงทุนได้ |
3. อัตราผลตอบแทนและความเสี่ยงที่ยอมรับได้ |
|
- การลงทุนในตราสารหนี้ มีผลตอบแทนที่แน่นอน และสม่ำเสมอ
- การลงทุนในตราสารทุน แม้จะมีความเสี่ยงด้านความผันผวนของผลตอบแทน แต่ในระยะยาวโดยเฉลี่ยมีโอกาสที่จะได้รับผลตอบแทนที่สูงกว่าการลงทุนในตราสารหนี้ |
4. ข้อจำกัดการลงทุน เช่น ความต้องการสภาพคล่องในระยะสั้น ข้อกำหนด/ข้อบังคับพิเศษตามข้อกำหนดเฉพาะของส่วนต่างๆ |
แนวทางเบื้องต้นในการจัดสรรเงินลงทุนในกองทุนส่วนบุคคล จุฬาฯ
เงินฝากออมทรัพย์และกระแสรายวัน |
|
- ควรมีสัดส่วนน้อยที่สุด ควรสำรองไว้เพื่อใช้จ่ายเท่าที่จำเป็นเท่านั้น
- หากวางแผนการใช้เงินเป็นรายสัปดาห์หรือรายวันได้อาจจัดสรรบางส่วนมาลงทุนในกองทุนส่วนบุคคล จุฬาฯ เพื่อการบริหารสภาพคล่อง (LQ) ได้บางส่วน เนื่องจากสามารถซื้อขายได้ทุกวัน ซึ่งจะทำให้การเบิกถอนใกล้เคียงกับการฝากออมทรัพย์และกระแสรายวัน
|
หากคณะ/ส่วนงานสามารถจัดสรรเงินเพื่อลงทุนในระยะเวลาที่มากกว่า 1 ปี จะเพิ่มโอกาสในการได้รับผลตอบแทนที่มากขึ้นโดยการลงทุนดังนี้ |
|
- กองทุนส่วนบุคคล - ตราสารหนี้ระยะกลาง (MFIXED)
- กองทุนส่วนบุคคล - ทุนคงยอดเงินต้น (PP)
- กองทุนส่วนบุคคล - กองทุนผสม (FLEX)
- ตราสารเงิน/เงินฝาก กับธนาคารที่มีระยะยาวกว่า 1 ปี
- พันธบัตร/หุ้นกู้ที่มีคุณสมบัติตามประกาศเรื่องนโยบายการลงทุนของจุฬาฯ |
|